แอร์บ้าน เลือกประเภทแอร์บ้านให้ตรงตามการใช้งานจริง

Table of Contents

แอร์บ้านเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยคลายร้อนและสร้างความสบายภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่อากาศร้อนจัดเกือบทั้งปี การเลือกแอร์บ้านให้ตรงกับลักษณะการใช้งานจริงจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเรื่องขนาด BTU การประหยัดพลังงาน และการดูแลรักษา เราจะพาไปรู้จักกับประเภทแอร์บ้านรูปแบบต่าง ๆ พร้อมเทคนิคการเลือกให้คุ้มค่า ราคาแอร์บ้านในปัจจุบัน มีให้เลือกหลากหลายตามงบประมาณ หากกำลังมองหาแอร์บ้านราคาถูกหรือกำลังตัดสินใจเลือกร้านแอร์ที่เชื่อถือได้ เรามีคำแนะนำให้ครบจบในที่เดียว

วิธีเลือกแอร์บ้านให้เหมาะสมกับขนาดห้องและการใช้งาน

การเลือกแอร์บ้านเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ใช้งาน เพราะไม่ใช่เพียงแค่เลือกมาเพื่อทำความเย็นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลือกในรูปแบบที่ช่วยประหยัดพลังงานในระยะยาว รวมถึงต้องใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกแอร์ติดบ้านสามารถทำได้ ดังนี้

1.พิจารณาขนาดพื้นที่ห้อง (หน่วยเป็นตารางเมตร)

 เลือกขนาด BTU ให้เหมาะกับขนาดห้องโดยประมาณ (ในกรณีที่ห้องสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง สามารถเพิ่มขนาด BTU ขึ้นได้ 10 – 20%)

𑇐 ห้องขนาด 9–14 ตร.ม. ~ 9,000–12,000 BTU

𑇐 ห้องขนาด 15–20 ตร.ม. ~ 12,000–18,000 BTU

𑇐 ห้องขนาด 21–30 ตร.ม. ~ 18,000–24,000 BTU

𑇐 ห้องขนาด 31 ตร.ม. ขึ้นไป ~ 24,000 BTU ขึ้นไป

2.ประเภทของห้องและลักษณะการนำไปใช้งาน

𑇐 ห้องนอน : ควรเลือกแอร์ที่เสียงรบกวนต่ำและมีโหมดประหยัดพลังงาน อย่างเช่น แอร์ระบบ inverter

𑇐 ห้องนั่งเล่น/ห้องรับแขก : เลือกแอร์ที่มีขนาด BTU สูงขึ้นกว่าขนาดห้อง เพราะมีการเปิด-ปิดประตูบ่อยครั้งและจำนวนคนใช้งานมาก

𑇐 ห้องครัว : ควรหลีกเลี่ยงการติดเครื่องปรับอากาศหากเป็นไปได้ เพราะความร้อนและควันจากการทำอาหารจะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและเปลืองพลังงาน

𑇐 ห้องทำงาน : เน้นเลือกใช้แอร์บ้านที่มีเสียงรบกวนน้อยและมีระบบการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ

3.พิจารณาทิศทางลมและการติดตั้ง

𑇐 ตำแหน่งที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศควรเป็นบริเวณที่ไม่สัมผัสกับความร้อนโดยตรง เช่น บริเวณหน้าต่างที่โดนแดดตลอดทั้งวัน 

𑇐 เลือกทิศทางกระจายลมเย็นให้แม่นยำ ไม่ควรเลือกบริเวณที่มีสิ่งกีดขวาง รวมถึงไม่ควรติดทิศทางที่มีฝุ่นเป็นจำนวนมาก

4.การเลือกฟังก์ชันเสริมในแอร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งาน 

𑇐 ระบบปฏิบัติการแบบ Smart Home ควบคุมการทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน

𑇐 ฟังก์ชันฟอกอากาศและกรองฝุ่น PM2.5 หากบ้านที่สัมผัสฝุ่นละอองเล็ก ๆ บ่อยครั้ง ระบบการทำงานนี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสม

𑇐 ฟังก์ชันประหยัดพลังงาน Eco Mode เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการเปิดแอร์เป็นระยะเวลานาน ๆ โหมดการทำงานนี้จะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าโหมดอื่น ๆ 

5.เลือกเครื่องปรับอากาศที่ประหยัดไฟ

𑇐 ควรเลือกแอร์ติดบ้านที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 

𑇐 พิจารณาการเลือกแอร์จากค่าประหยัดพลังงาน (SEER/EER) เพื่อประหยัดไฟได้ในระยะยาว

ประเภทแอร์บ้านแต่ละแบบ ใช้งานแตกต่างกันอย่างไร?

ในปัจจุบันมีแอร์บ้านให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบ หลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับลักษณะพื้นที่และการใช้งานที่แตกต่างกัน หากเข้าใจถึงความแตกต่างก็จะสามารถเลือกใช้แอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการ โดยสามารถจำแนกประเภทของแอร์บ้านหลัก ๆ ได้ดังนี้

แอร์ติดผนัง (Wall Type)

𑇐 เป็นแอร์บ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับใช้งานในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานทั่วไป

𑇐 ดีไซน์รูปลักษณ์ทันสมัย ติดตั้งง่าย ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง

𑇐 เหมาะกับการใช้งานในห้องขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

𑇐 มีให้เลือกใช้งานทั้งระบบธรรมดาและ inverter

𑇐 ระดับเสียงค่อนข้างเบา เหมาะกับการใช้งานในระยะยาว

แอร์แบบตั้งพื้น (Floor Standing Type)

𑇐 ตัวเครื่องปรับอากาศตั้งอยู่บนพื้น โดยส่วนมากแล้วมักมีขนาดใหญ่และให้แรงลมสูง

𑇐 เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชุม ห้องโถง หรือร้านค้า

𑇐 สามารถเคลื่อนย้ายเครื่องปรับอากาศได้ง่ายกว่ารุ่นติดผนัง แต่กินพื้นที่บริเวณพื้นภายในห้อง

𑇐 ราคาค่อนข้างสูงกว่าแอร์รุ่นทั่วไป และในระยะยาวอาจมีเสียงดังมากขึ้นในบางรุ่น

แอร์แบบแขวนใต้ฝ้า (Ceiling Suspended Type)

𑇐 เครื่องปรับอากาศสำหรับติดตั้งใต้ฝ้าเพดาน เหมาะกับการใช้งานในอาคารพาณิชย์ ร้านอาหาร หรือสำนักงาน

𑇐 ตัวแอร์สามารถกระจายลมได้เป็นมุมกว้าง เย็นทั่วถึงแม้ในพื้นที่เปิดโล่ง

𑇐 ต้องใช้พื้นที่เหนือฝ้าพอสมควรในการเดินท่อเครื่องปรับอากาศ

𑇐 ราคาติดตั้งและค่าบำรุงรักษาแอร์ติดเพดานสูงกว่าแบบติดผนัง

แอร์แบบฝังฝ้า (Ceiling Cassette Type)

𑇐 หน้ากากแอร์จะถูกฝังเรียบเนียนไปกับฝ้าเพดาน ดูเรียบร้อยและหรูหรา

𑇐 เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามเป็นหลัก เช่น โชว์รูม โรงแรม หรือห้องประชุม

𑇐 เครื่องปรับอากาศสามารถกระจายลมได้ 4 ทิศทาง เย็นเร็วและทั่วถึง

𑇐 เครื่องปรับอากาศต้องการโครงสร้างฝ้าที่มีความแข็งแรงและมีพื้นที่สำหรับซ่อนเครื่อง

แอร์แบบหน้าต่าง (Window Type)

𑇐 เป็นเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่า ตัวเครื่องรวมทุกอย่างไว้ในเครื่องเดียว ทั้งคอยล์ร้อนและคอยล์เย็น

𑇐 แอร์รูปแบบนี้สามารถติดตั้งได้ง่าย แต่เสียงดังและกินไฟมากกว่าแอร์รูปแบบอื่น

𑇐 ปัจจุบันมีความนิยมลดลง เหมาะกับการใช้งานหอพักเก่า หรือพื้นที่ที่ไม่สามารถเดินท่อแอร์ได้

แอร์แบบพกพา (Portable Air Conditioner)

𑇐 แอร์รูปแบบนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องติดตั้งตัวเครื่องถาวร

𑇐 เหมาะกับการใช้งานในห้องที่ไม่สามารถเจาะผนังหรือติดตั้งแอร์แบบถาวรได้

𑇐 เครื่องปรับอากาศระบายลมร้อนออกทางท่อที่จำเป็นต้องต่อออกนอกห้อง

𑇐 กระจายความเย็นได้เฉพาะจุด ไม่เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ และแอร์มีเสียงค่อนข้างดัง

เปรียบเทียบราคาแอร์บ้านแต่ละแบรนด์ เลือกอย่างไรให้คุ้มราคา?

การเปรียบเทียบราคาแอร์บ้านควรพิจารณาทั้งฟังก์ชันการใช้งาน การประหยัดพลังงาน อายุการใช้งาน และบริการหลังการขาย เลือกแบรนด์ที่ได้รับความนิยมแต่ยังคงคุณภาพและบริการไว้อย่างดี รวมถึงเลือกร้านแอร์ที่ไม่ได้มีจำหน่ายเฉพาะแอร์บ้านราคาถูก แต่ยังคงจำหน่ายแอร์บ้านคุณภาพดีด้วยเช่นกัน ราคาเครื่องปรับอากาศแบรนด์ที่นิยมใช้งาน ได้แก่

1.Mitsubishi Electric รุ่น MSY-KT Series (Inverter) (ราคา 16,000 – 28,000 บาท)

𑇐 ระบบ Fast Cooling เย็นเร็วทันใจ ในไม่กี่นาทีหลังเปิดเครื่อง

𑇐 ใช้เทคโนโลยี Inverter ระบบประหยัดไฟขั้นสูง พร้อมฉลากเบอร์ 5

𑇐 แผ่นกรอง Nano Platinum Filter ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย กลิ่น และฝุ่นละเอียด

𑇐 ระบบ Econo Cool ช่วยควบคุมทิศทางลมอัตโนมัติ ลดการใช้พลังงานโดยไม่ลดความเย็น

𑇐 ตัวเครื่องดีไซน์เรียบง่าย ทันสมัย ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับห้องนอนหรือห้องทำงานทั่วไป

2.Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-YXP Series (ราคา 18,000 – 24,000 บาท)

𑇐 โดดเด่นด้วยระบบ Jet Flow กระจายลมแรงไกลถึง 17 เมตร

𑇐 มี 3D Auto Airflow กระจายลมแบบ 6 ทิศทาง เย็นทั่วถึงห้องได้อย่างรวดเร็ว

𑇐 Allergen Clear Filter กรองสารก่อภูมิแพ้ เหมาะกับผู้มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ

𑇐 ฟังก์ชัน Self Clean Operation ช่วยเป่าลมแห้งภายในเครื่อง ลดความชื้นและเชื้อรา

𑇐 เหมาะกับห้องขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ หรือบ้านที่ต้องการลมแรงและกระจายได้ทั่วถึง

3.Mitsubishi Electric รุ่น Mr. Slim Super Inverter (MSY-GN Series) (ราคา 19,000 – 54,000 บาท)

𑇐 เทคโนโลยี Dual Barrier Coating เคลือบป้องกันฝุ่นและน้ำมัน ไม่ให้เกาะอุปกรณ์ภายใน

𑇐 Plasma Quad Plus ระบบฟอกอากาศขั้นสูง ดักจับ PM2.5, เชื้อโรค, กลิ่น และไวรัส

𑇐 มีเซ็นเซอร์ i-See Sensor ตรวจจับความเคลื่อนไหว และอุณหภูมิของร่างกาย เพื่อปรับลมเย็นอย่างแม่นยำ

𑇐 ทำงานเงียบสนิท เหมาะกับห้องนอนระดับพรีเมียม หรือผู้ใช้งานที่เน้นสุขภาพ

4.Carrier XInverter Plus (รุ่น 42TVAA010) (ราคา 17,000 – 21,000 บาท)

𑇐 ใช้เทคโนโลยี XInverter ประหยัดพลังงานขั้นสูงสุด ได้ฉลากเบอร์ 5 ระดับ 3 ดาว

𑇐 มีระบบ PM 2.5 Filter ดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก เหมาะกับบ้านในเมืองหรือผู้ที่แพ้ฝุ่น

𑇐 ฟังก์ชัน Follow Me ที่ปรับอุณหภูมิให้เย็นตามตำแหน่งรีโมท

𑇐 ทำงานเงียบพิเศษเพียง 19 เดซิเบล เหมาะกับห้องนอนโดยเฉพาะ

5.Carrier Aura Ultimate Inverter (ราคา 20,000 – 25,000 บาท)

𑇐 ดีไซน์หรูหรา มีไฟแสดงอุณหภูมิบนตัวเครื่อง

𑇐 ฟีเจอร์เด่นคือ Air Quality Sensor ตรวจจับคุณภาพอากาศในห้องแบบเรียลไทม์

𑇐 ใช้ระบบ UV Sterilization ฆ่าเชื้อแบคทีเรียภายในเครื่องก่อนปล่อยลมออก

𑇐 ควบคุมผ่าน Wi-Fi ได้ รองรับแอปพลิเคชัน Carrier Smart+

6.Carrier EVOLUTION Inverter R32 (ราคา 29,000 – 62,000 บาท)

𑇐 มาพร้อม ระบบพัดลมแบบ Air Booster กระจายลมได้ไกลถึง 15 เมตร

𑇐 รองรับ Cooling Mode + Dehumidifier ช่วยลดความชื้นภายในห้องอย่างมีประสิทธิภาพ

𑇐 ใช้น้ำยาแอร์ R32 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความเย็นเร็วขึ้น

𑇐 มีระบบป้องกันไฟตก ไฟเกิน ออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่ที่ไฟไม่เสถียร

การดูแลรักษาแอร์บ้านให้ใช้งานได้ยาวนานและประหยัดไฟ

การดูแลแอร์ บ้านอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เพียงแต่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศให้ยาวนานขึ้น แต่ยังช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัดไฟ และลดปัญหาสุขภาพจากฝุ่นหรือเชื้อโรคที่สะสมในระบบได้อีกด้วย แอร์ที่ไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาดจะกินไฟมากขึ้น ทำความเย็นได้ช้าลง และมีโอกาสเสียหายก่อนเวลาอันควร  โดยวิธีดูแลแอร์บ้านที่ควรปฏิบัติเป็นประจำ มีดังนี้

1.ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ (Filter) ทุก 2–4 สัปดาห์

ฝุ่นที่สะสมในแผ่นกรองอากาศจะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น กินไฟมากขึ้น และหมุนเวียนอากาศได้ไม่ดี การถอดล้างเป็นประจำด้วยน้ำสะอาดแล้วผึ่งให้แห้ง จะช่วยให้แอร์เย็นเร็วและประหยัดพลังงาน

2.ล้างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อนทุก ๆ 6 เดือน – 1 ปี

คอยล์ที่สกปรกจากฝุ่นหรือคราบน้ำมันจะทำให้เครื่องอืดเย็นช้า เสี่ยงน้ำหยดและเสียงดัง การล้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ระบบภายในสะอาดขึ้น ทำงานได้ลื่นไหล และยืดอายุแอร์ได้ยาวนานขึ้น

3.ตรวจเช็กน้ำยาแอร์เป็นระยะ

หากน้ำยาแอร์ขาดหรือรั่ว จะทำให้แอร์ไม่เย็นและคอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป ก่อให้เกิดความเสียหายได้ การให้ช่างมาตรวจทุกปีจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้

4.ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมที่ 25–26 องศา

เป็นระดับอุณหภูมิที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกเย็นสบายโดยไม่เปลืองพลังงานมากเกินไป หากเปิดความเย็นต่ำกว่านี้เครื่องจะทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้สิ้นเปลืองไฟโดยไม่จำเป็น

5.เปิดพัดลมร่วมกับแอร์ในบางช่วงเวลา

การใช้พัดลมเพื่อกระจายลมเย็นภายในห้อง จะช่วยให้แอร์หยุดพักเป็นระยะ ลดภาระของเครื่องปรับอากาศ และช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้

6.ไม่ควรปิด–เปิดแอร์บ่อยครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ

เพราะคอมเพรสเซอร์จะต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง ส่งผลให้กินไฟและเสื่อมเร็วกว่าปกติ ควรเปิดเมื่อจำเป็นและให้เครื่องได้ทำงานต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ

7.เลือกใช้ผ้าม่านกันความร้อนหรือฟิล์มกรองแสง

การลดอุณหภูมิจากภายนอกก่อนจะเข้ามาสู่ภายในห้อง จะช่วยให้แอร์ไม่ทำงานหนัก โดยเฉพาะช่วงกลางวันหรือห้องที่โดนแดดจัด

การเลือกแอร์บ้านควรพิจารณาจากขนาดห้อง ลักษณะการใช้งาน และประเภทแอร์ เช่น แอร์ติดผนัง ตั้งพื้น แขวนใต้ฝ้า หรือแบบพกพา เพื่อให้เหมาะสมและประหยัดพลังงาน ควรเลือก BTU ให้ตรงกับพื้นที่ ใช้แอร์รุ่นที่มีระบบ Inverter หรือฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 พร้อมฟังก์ชันเสริม เช่น กรองฝุ่น PM2.5 หากสนใจแอร์บ้านคุณภาพดี เลือกที่ THAIAIRCOOL สอบถามได้ที่ LINE Official

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ แอร์บ้าน

แอร์บ้านยี่ห้อไหนดีในปีนี้

ในปีนี้ แอร์บ้านที่โดดเด่นคือ Mitsubishi Electric และ Daikin ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องระบบอินเวอร์เตอร์ ประหยัดพลังงาน และทนทาน แม้ราคาจะแตกต่างกัน แต่ค่าแอร์บ้านที่สูงขึ้นแลกมาด้วยประสิทธิภาพระยะยาวที่คุ้มค่า สำหรับผู้ที่ต้องการฟังก์ชันครบและดูโครงสร้างอากาศ Carrier ก็เป็นตัวเลือกที่ดี มีระบบฟอกอากาศและราคาย่อมกว่า เหมาะกับบ้านที่ต้องการแอร์บ้านราคาเข้าถึงได้โดยไม่ลดคุณภาพ

แอร์บ้าน Inverter คืออะไร ต่างจากธรรมดายังไง

แอร์บ้าน Inverter คือแอร์ที่ใช้เทคโนโลยีควบคุมรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ ทำให้เย็นเร็วและคงที่ ต่างจากแอร์ธรรมดาที่คอมเพรสเซอร์จะเปิด-ปิดอยู่ตลอดเวลา แอร์บ้าน Inverter จึงเสียงเงียบกว่า ทนทานกว่า และช่วยลดค่าไฟได้มากกว่า จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้มองหาแอร์บ้านประหยัดไฟในระยะยาว

ควรเลือกแอร์บ้านขนาดกี่ BTU สำหรับห้อง 12 ตร.ม

ห้องขนาด 12 ตร.ม. ควรใช้แอร์ขนาดประมาณ 12,000 BTU

แอร์บ้านควรล้างบ่อยแค่ไหน

ควรล้างแอร์บ้านอย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือถ้าใช้งานบ่อยอาจล้างทุก 3-4 เดือน เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพและประหยัดไฟ การล้างแอร์บ้านช่วยลดการสะสมของฝุ่น เชื้อรา และกลิ่นอับ

แอร์บ้านแบบติดผนังดียังไง

แอร์บ้านแบบติดผนังเป็นที่นิยมเพราะติดตั้งง่ายและไม่เปลืองพื้นที่ เหมาะสำหรับห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นที่ต้องการความเย็นเฉพาะจุด ทำงานเงียบ เย็นเร็ว และดูแลรักษาง่าย อีกทั้งยังมีดีไซน์ทันสมัย ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับห้องได้อีกด้วย

บทความแนะนํา