แอร์มีกี่ประเภท? รู้จักประเภทเครื่องปรับอากาศและเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน

Table of Contents

แอร์มีกี่ประเภท เชื่อว่ายังมีหลายคนที่อาจสงสัยกับคำถามนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วมักจะรู้จักประเภทแอร์เบื้องต้นอย่าง แอร์ Inverter, แอร์ระบบธรรมดา แต่แอร์ยังสามารถแบ่งออกไปได้อีกหลากหลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันออกไปในด้านการนำไปใช้งาน ด้านขนาด ด้านระบบปฏิบัติการ THAIAIRCOOL ได้ทำการรวบรวมประเภทเครื่องปรับอากาศที่มีผู้คนนิยมใช้งานรวมถึงวิธีการเลือกแอร์รูปแบบต่าง ๆ ให้ตรงกับการใช้งานจริง

7 ประเภทของแอร์  เรื่องควรรู้ก่อนเลือกซื้อแอร์มาใช้งาน

เมื่อทำการแบ่งแอร์ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามการใช้งาน จะสามารถแบ่งออกเป็น 7 ประเภทใหญ่ ๆ โดยแต่ละประเภทนั้นล้วนมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก หรือระบบปฏิบัติการภายใน

1. แอร์รูปแบบติดผนัง (Wall air conditioners)

แอร์ติดผนัง จัดเป็นชนิดเครื่องปรับอากาศที่นิยมใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน ด้วยสภาพอากาศในประเทศไทยที่มีความร้อนอบอ้าวทั้งปีและแอร์ชนิดนี้เป็นแอร์ที่หาซื้อได้ง่ายมากที่สุด โดยส่วนใหญ่นิยมใช้งานในบ้านพักอาศัย สำนักงาน โรงเรียน คอนโดมิเนียม ด้วยความที่มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ติดตั้งได้ง่าย จึงตอบโจทย์การใช้งานกับห้องที่มีขนาดเล็กจนถึงปานกลางได้เป็นอย่างดี เพราะกระบวนการทำงานของแอร์ประเภทนี้เป็นการทำงานในบริเวณพื้นที่ที่จำกัด 

แอร์ติดผนัง ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ

  1. ส่วนทำงานภายใน : เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ภายในห้อง มีหน้าที่เป่าลมเย็นตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ 
  2. ส่วนทำงานภายนอก : ลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยมตั้งอยู่ด้านนอกบ้าน มีหน้าที่ระบายความร้อนจากส่วนทำงานภายใน

2. แอร์รูปแบบฝังฝ้าเพดาน (Ceiling-Mounted air conditioner)

แอร์ฝังฝ้าเพดานเป็นประเภทของแอร์ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่นห้องโถง ร้านอาหาร ซึ่งแอร์ชนิดนี้จะถูกออกแบบให้ติดตั้งเป็นรูปแบบฝังเข้าไว้กับฝ้าเพดาน จะมีเพียงส่วนหน้าของแอร์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ หน้าที่ของแผงส่วนหน้าคือการกระจายลมเย็นไปในทิศทางต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ มีให้เลือกใช้งานตั้งแต่แบบ 1 ทิศทาง, 2 ทิศทาง, 4 ทิศทาง, และแบบ 360 องศา แอร์แบบฝังจะช่วยให้การออกแบบพื้นที่ง่ายมากขึ้น เพราะไม่มีส่วนของตัวแอร์ยื่นออกมาด้านนอก 

3. แอร์รูปแบบเคลื่อนที่ ( Movable type)

อีกหนึ่งประเภทของแอร์ที่นิยมใช้มากขึ้นในปัจจุบัน เพราะแอร์ชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเข้ากับผนังหรือติดตั้งฝังในฝ้าเพดาน แต่สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานได้ในหลากหลายพื้นที่ที่ต้องการ เหมาะกับบ้านที่ไม่ต้องการเจาะให้เกิดร่องรอยความเสียหาย หรืออาศัยอยู่หอพักก็สามารถใช้ได้เช่นกัน แอร์ลักษณะนี้เป็นรูปแบบทรงกล่องสี่เหลี่ยมสูงพอเหมาะ มีล้อเลื่อนเพื่อเคลื่อนย้าย ตัวเครื่องมาในรูปแบบ All-in-One คือมีทั้งคอมเพรสเซอร์ คอยล์ร้อน และคอยล์เย็นในตัว 

4. แอร์รูปแบบตั้งแขวน (Ceiling air conditioner)

ชนิดแอร์ที่หลาย ๆ คนรู้จักในชื่อ “แอร์ตั้งแขวน” เป็นเครื่องปรับอากาศที่สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบแขวนฝ้าเพดานและแบบวางตั้งพื้นชิดผนัง ผ่านการออกแบบให้มีกระบวนการทำงานกระจายความเย็นได้เร็วและไกลมากยิ่งขึ้น เหมาะมากกับห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่นห้องประชุมสัมมนา โชว์รูม สำนักงาน รวมถึงพื้นที่ที่ต้องการใช้ความเย็นเป็นระยะเวลานาน ๆ 

5. แอร์รูปแบบตู้ตั้งพื้น (Floor Standing air conditioner)

แอร์แบบตู้ตั้งพื้นจะแตกต่างกับแอร์แบบเคลื่อนที่ได้ เพราะขนาดของแอร์ตู้จะมีขนาดใหญ่กว่าแต่สามารถเคลื่อนที่ได้เช่นเดียวกัน ลักษณะคล้ายกับตู้เย็นทรงสูง ไม่ต้องติดตั้งเข้ากับผนังหรือฝ้าเพดาน ต้องใช้ท่อระบายความร้อน เหมาะกับการนำไปใช้ในบริเวณที่มีผู้คนผ่านตลอดเวลา เช่น ประตูห้างสรรพสินค้าด้านใน ร้านอาหาร หรือพื้นที่อื่น ๆ ที่มีขนาดใหญ่ แอร์ชนิดนี้สามารถกระจายความเย็นได้ไกลและค่อนข้างรวดเร็ว

6. แอร์รูปแบบท่อลม (Ductwork air conditioners)

ระบบเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ถูกพบเห็นได้บ่อยในโรงงาน โรงแรมต่าง ๆ เป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้ระบบดักท์หรือระบบท่อลมในการทำความเย็น กระจายลมเย็นไปยังบริเวณต่าง ๆ ทั่วพื้นที่ ซึ่งแอร์ในลักษณะนี้จะถูกฝังเข้าไปในฝ้าเพดานหรือห้องเครื่องและใช้ท่อส่งลม หัวจ่ายลมในการส่งความเย็นเข้าสู่ภายใน ประกอบไปด้วย 5 ส่วนประกอบใหญ่ ๆ คือส่วนที่อยู่ด้านในอาคาร, ส่วนที่อยู่ด้านนอกอาคาร, ท่อลม, หัวจ่ายลม, และหัวดูดลมกลับ

7. แอร์รูปแบบหน้าต่าง (Window air conditioner)

เครื่องปรับอากาศที่เป็นชนิดแบบคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นอยู่ในเครื่องเดียวกัน รูปลักษณ์คล้ายทรงกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินพอดี นำไปติดตั้งที่ช่องหน้าต่าง หรือช่องผนังที่มีขนาดพอดีกับตัวเครื่องปรับอากาศ ตัวแอร์สามารถกระจายลมเย็นและระบายความร้อนได้ในเครื่องเดียว แต่ไม่เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ เหมาะกับห้องในอพาร์ตเมนต์ ห้องขนาดเล็ก

3 วิธี เลือกประเภทแอร์ยังไง? ให้ประหยัดพลังงาน

ระบบแอร์บ้าน มีกี่ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน แต่ถ้าหากอยากเลือกชนิดของแอร์ที่สามารถประหยัดพลังงานได้ด้วย THAIAIRCOOL มีวิธีมาแบ่งปัน

วิธีที่ 1 เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า EER/SEER สูง 

ควรเลือกชนิดแอร์จากค่า EER และค่า SEER สูง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานในระยะยาว

  • ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) คือ ความสามารถในการทำความเย็นต่อพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในสภาวะมาตรฐาน เหมาะกับบ้านที่มีการใช้งานแอร์ตลอดทั้งวันหรือเป็นระยะเวลานาน
  • ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) คือ ประสิทธิภาพในฤดูกาลที่มีการใช้งานจริง คำนวณจากหลายระดับอุณหภูมิ เหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย

ตัวอย่างแอร์ที่มีค่า SEER สูง

วิธีที่ 2 เลือกชนิดเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

พื้นฐานการประหยัดพลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าคือการเลือกประเภทที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แน่นอนว่าการเลือกชนิดเครื่องปรับอากาศก็ต้องเลือกแบบที่มีฉลากเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแอร์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักถึงจะได้สัญลักษณ์ชนิดนี้มา เช่น แอร์แบบแขวนผนัง แอร์แบบตู้ตั้งพื้น และแอร์ตั้งแขวน

วิธีที่ 3 เลือกประเภทของแอร์ที่มีขนาด BTU เหมาะสมกับพื้นที่ 

หนึ่งในสิ่งสำคัญของการเลือกประเภทแอร์คือการคำนวณขนาด BTU ให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน เพราะถ้ากรณีที่ห้องเล็กแต่แอร์ BTU สูง หรือ ห้องใหญ่แต่ BTU ต่ำ จะส่งผลให้เกิดพลังงานสิ้นเปลืองขึ้นได้

คำนวณขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งานจริง

  • วิธีคำนวณหาขนาด BTU พื้นที่ห้อง (ตารางเมตร) × 600 – 800 (หากห้องมีความร้อนมาก เช่น แดดส่องทั้งวัน ให้ใช้ตัวคูณสูง)
    • เช่นห้องนอนขนาด 3×3 เมตร = 9 ตารางเมตร (9×800=7200BTU)

รายละเอียดของแต่ละพื้นที่ห้อง

  • พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) 10 – 14 ขนาด BTU ที่เหมาะสม 9000 – 12000 BTU ประเภทแอร์แนะนำเป็นแอร์แขวนผนัง
  • พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) 15 – 24 ขนาด BTU ที่เหมาะสม 12000 – 18000 BTU ประเภทแอร์แนะนำเป็นแอร์แขวนผนัง/แอร์ตั้งแขวน
  • พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) 25 – 35 ขนาด BTU ที่เหมาะสม 18000 – 24000 BTU ประเภทแอร์แนะนำเป็นแอร์แขวนผนัง/แอร์ตู้ตั้งพื้น
  • พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) 36 – 45 ขนาด BTU ที่เหมาะสม 24000 – 30000 BTU ประเภทแอร์แนะนำเป็นแอร์ตู้ตั้งพื้น/แอร์ตั้งแขวน
  • พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) มากกว่า 46 ตร.ม BTU มากกว่า 30000 BTU ประเภทแอร์แนะนำเป็นแอร์ตู้ตั้งพื้น/แอร์ท่อลม/แอร์ฝังฝ้าเพดาน

เรื่องต้องรู้ ข้อดี-ข้อจำกัดของแอร์แต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร?

จากบทความด้านบนทำให้ทุกคนได้รู้แล้วว่าแอร์มีกี่ประเภท หากแบ่งตามประเภทการใช้งานจะแบ่งออกเป็น 7 ประเภทใหญ่ แน่นอนว่าประเภทแอร์แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป

  1. แอร์รูปแบบติดผนัง (Wall air conditioners)
  • ข้อดี
    • ประหยัดพื้นที่การติดตั้ง
    • เสียงค่อนข้างเงียบ
    • มีหลากหลายฟังก์ชันที่ทันสมัย
    • ประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะรุ่นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
    • การทำความสะอาด ดูแลรักษาง่าย
  • ข้อจำกัด
    • ไม่เหมาะกับการติดตั้งในห้องใหญ่หรือบริเวณพื้นที่โล่ง
  1. แอร์รูปแบบฝังฝ้าเพดาน (Ceiling-Mounted air conditioner)
  • ข้อดี
    • การกระจายลมทั่วถึงมากกว่า
    • มีความสวยงาม เป็นระเบียบ
    • เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่
    • ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง
  • ข้อจำกัด
    • ค่าใช้จ่ายสูง
    • การติดตั้งยาก
    • ต้องวางแผนการติดตั้ง ตั้งแต่เริ่มสร้างอาคาร
    • การบำรุงรักษา ทำความสะอากยาก
  1. แอร์รูปแบบเคลื่อนที่ ( Movable type)
  • ข้อดี
    • เคลื่อนที่ง่าย ใช้งานสะดวก
    • ไม่ต้องเจาะผนัง
    • เหมาะกับใช้งานในพื้นที่เล็ก ๆ เช่นหอพัก
  • ข้อจำกัด
    • กระบวนการทำความเย็นน้อยกว่าแอร์บ้าน
    • เสียงดัง
    • ต้องหมั่นดูและระบบน้ำทิ้ง
  1. แอร์รูปแบบตั้งแขวน (Ceiling air conditioner)
  • ข้อดี
    • กระจายทิศทางลมได้แรงและไกล
    • เหมาะกับห้องที่มีคนอยู่จำนวนมาก
    • โครงสร้างแข็งแรง
    • ไม่มีฝ้าเพดานก็สามารถติดตั้งบนพื้นได้
  • ข้อจำกัด
    • ไม่เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็ก
    • ดีไซน์ไม่ทันสมัย
    • เสียงค่อนข้างดัง
  1. แอร์รูปแบบตู้ตั้งพื้น (Floor Standing air conditioner)
  • ข้อดี
    • เป่าลมเย็นได้รวดเร็ว
    • บำรุงรักษาง่าย
    • มีความแข็งแรง ทนทาน
  • ข้อจำกัด
    • ขนาดใหญ่
    • เสียงค่อนข้างดัง
    • ไม่เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็กจนเกินพอดี
  1. แอร์รูปแบบท่อลม (Ductwork air conditioners)
  • ข้อดี
    • กระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง
    • เสียงเบา
    • เหมาะกับอาคารที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิบริเวณจุดเดียว
  • ข้อจำกัด
    • ค่าใช้จ่ายสูง
    • การติดตั้งทำได้ยาก
    • ต้องติดตั้งในบริเวณที่มีระดับฝ้าอยู่สูง
  1. แอร์รูปแบบหน้าต่าง (Window air conditioner)
  • ข้อดี
    • ประหยัดงบประมาณ
    • ประหยัดพื้นที่
    • บำรุงรักษาง่าย
  • ข้อจำกัด
    • ระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าคอยล์แยกส่วน
    • เสียงดัง
    • อาจต้องเจาะกระจกหรือผนัง

แอร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนคงได้คำตอบและวิธีการเลือกนำไปใช้งานให้เหมาะสมแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักในการเลือกเครื่องปรับอากาศก็คือพื้นที่ที่ใช้งาน งบประมาณ หากต้องการสอบถามเรื่องแอร์เพิ่มเติมสามารถติดต่อ THAIAIRCOOL ผ่านช่องทาง LINE Official

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ แอร์มีกี่ประเภท

ทำไมบางบ้านเลือกใช้แอร์ติดผนัง บางบ้านเลือกแอร์ตั้งพื้น

เหตุผลในการเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแตกต่างกันออกไป เช่น ขนาดพื้นที่ งบประมาณ การออกแบบบ้าน รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง

แอร์ใช้งานในบ้านทั่วไปกับแอร์ที่ใช้ในร้านอาหารเหมือนกันไหม

มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะในร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่ เพราะแอร์ที่ติดตั้งในร้านอาหารจำเป็นต้องคำนวณถึงจำนวนผู้ใช้บริการ ปริมาณควันจากการทำอาหาร ความชื้น และระยะเวลาในการใช้งาน

แอร์แต่ละรูปแบบมีการกินไฟต่างกันแค่ไหน

การกินไฟต่อชั่วโมงสามารถเรียงได้ ดังนี้ 
1. แอร์ติดผนัง 600-2000 วัตต์ 
2. แอร์หน้าต่าง 900-3000 วัตต์
3. แอร์ฝังฝ้าเพดาน 1800-4000 วัตต์
4. แอร์ตั้งแขวน 2000-5000 วัตต์
5. แอร์ตั้งพื้น 2500-6000 วัตต์
6. แอร์เคลื่อนที่ 1000-2500 วัตต์
7. แอร์ท่อลม 3000-8000 วัตต์

แอร์ Inverter กับ แอร์ Non Inverter ต่างกันยังไง

แอร์ Inverter เย็นเร็ว นิ่ง ทำงานคงที่ และประหยัดไฟมากกว่า อายุการใช้งานยาวนาน อีกทั้งมีเสียงเงียบ การซ่อมแซมราคาสูงกว่าเล็กน้อย ส่วน แอร์ Non Inverter เย็นเป็นจังหวะ อุณหภูมิสวิง กินไฟมากกว่า เสียงดังกว่า และ ซ่อมง่ายกว่า ค่าอะไหล่ค่อนข้างถูก

แอร์ขนาด 12000 BTU กินไฟวันละกี่บาท

ประมาณ 20-50 บาท/วัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการใช้งาน, อุณหภูมิภายนอก, ราคาค่าไฟต่อหน่วย, อายุการใช้งานเครื่องปรับอากาศ

บทความแนะนํา